วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

ข้อดีและข้อเสียของ Social Network

                                     
                     ข้อดี - ข้อเสีย ของ Social Network
...............
ในโลกไซเบอร์ก็เหมือนสังคมรอบข้างตัวเรา มีใส่หน้ากาก กัดกันข้างหลัง มีนิสัยดี นิสัยชั่ว มีการสงสัย การระวังคนรอบข้าง มีหมดทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมดาของโลก แต่เราจะสามารถคัดกรองกลุ่มคนยังไงได้นั้น ก็ต้องใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ หรือพิจารณา คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนดี สักวันหนึ่งอาจจะกลับกลายเป็นคนชั่วไปก็เป็นได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอน เพียงแต่เราจะมองโลกในแง่บวก หรือแง่ลบ เท่านั้นเอง เช่นเดียวกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว และใน Social Network ก็เช่นเดียวกัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย








                             ข้อดีของ Social Network

  • สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้

  • เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว

  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น

  • ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า

  • ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น

  • คลายเคลียดได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหาเพื่อนคุยเล่นสนุกๆ

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้
  •                       
  •                           

  •     ข้อเสียของ Social Network
    • เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล อาจถูกผู้ไม่หวังดีนำมาใช้ในทางเสียหาย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้

    • Social Network เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรือการนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์

    • เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น

    • ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้

    • ผู้ใช้ที่เล่น social  network และอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจสายตาเสียได้หรือบางคนอาจตาบอดได้      

    • ถ้าผู้ใช้หมกหมุ่นอยู่กับ social  network มากเกินไปอาจทำให้เสียการเรียนหรือผลการเรียนตกต่ำลงได้

    • จะทำให้เสียเวลาถ้าผู้ใช้ใช้อย่างไร้ประโยชน์
      

เครือข่ายสังคมออนไลน์

                                เครือข่ายสังคมออนไลน์



1. ความหมายของเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network)
เครือข่ายสังคมออนไลน์ หมายถึง สังคมออนไลน์ที่มีการเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างเครือข่ายในการตอบสนองความต้องการทางสังคมที่มุ่งเน้นในการสร้างและสะท้อนให้เห็นถึงเครือข่าย หรือความสัมพันธ์ทางสังคม ในกลุ่มคนที่มีความสนใจหรือมีกิจกรรมร่วมกัน บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จะให้บริการผ่านหน้าเว็บ และให้มีการตอบโต้กันระหว่างผู้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต

2.ความเป็นมาของเครือข่ายสังคมออนไลน์
การเกิดขึ้นและเติบโตของเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้มาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจากเว็บ 1.0 (เว็บเนื้อหา) มาสู่เว็บ 2.0 (เว็บเชิงสังคม) ซึ่งจุดเด่นของเว็บ 2.0 คือ การที่ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตได้เอง โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นทีมงานหรือผู้ดูแลเว็บไซต์ ซึ่งเรียกว่า User Generate Content ข้อดีของการที่ผู้ใช้เข้ามาสร้างเนื้อหาได้เอง ทำให้มีการผลิตเนื้อหาเข้ามาเป็นจำนวนมาก และมีความหลากหลายของมุมมองความคิด เพราะจากเดิมผู้ดูแลจะเป็นคนคิดและหาเนื้อหามาลงแต่เพียงกลุ่มเดียว
ประเภทของเครือข่ายสังคมออนไลน์
เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ให้บริการตามเว็บไซต์สามารถแบ่งขอบเขตตามการใช้งานโดยดูที่วัตถุประสงค์หลักของการเข้าใช้งาน และคุณลักษณะของเว็บไซต์ที่มีร่วมกัน กล่าวคือ วัตถุประสงค์ของการเข้าใช้งานมีเป้าหมายในการใช้งานไปในทางเดียวกันมีการแบ่งประเภทของเครือข่ายสังคมออนไลน์ออกตามวัตถุประสงค์ของการเข้าใช้งาน ได้ 7 ประเภท

1. สร้างและประกาศตัวตน (Identity Network) เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้ใช้สำหรับให้ผู้เข้าใช้งานได้มีพื้นที่ในการสร้างตัวตนขึ้นมาบนเว็บไซต์ และสามารถที่จะเผยแพร่เรื่องราวของตนผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยลักษณะของ การเผยแพร่อาจจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ การเขียนข้อความลงในบล็อก อีกทั้งยังเป็นเว็บที่เน้นการหาเพื่อนใหม่ หรือการค้นหาเพื่อนเก่าที่ขาดการติดต่อ                                                                                       การเขียนบทความได้อย่างเสรี ซึ่งอาจจะถูกนำมาใช้ได้ใน 2 รูปแบบ ได้แก่
1.1 Blog บล็อก เป็นชื่อเรียกสั้นๆ ของ Weblog ซึ่งมาจากคำว่า “Web” รวมกับคำว่า “Log” ที่เป็นเสมือนบันทึกหรือรายละเอียดข้อมูลที่เก็บไว้ ดังนั้นบล็อกจึงเป็นโปรแกรมประยุกต์บนเว็บที่ใช้เก็บบันทึกเรื่องราว หรือเนื้อหาที่เขียนไว้โดยเจ้าของเขียนแสดงความรู้สึกนึกคิดต่างๆ โดยทั่วไปจะมีผู้ที่ทำหน้าที่หลักที่เรียกว่า “Blogger” เขียนบันทึกหรือเล่าเหตุการณ์ที่อยากให้คนอ่านได้รับรู้ หรือเป็นการเสนอมุมมองและแนวความคิดของตนเองใส่เข้าไปในบล็อกนั้น

1.2 ไมโครบล็อก (Micro Blog) เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้มีลักษณะเด่นโดยการให้ผู้ใช้โพสต์ข้อความ
จำนวนสั้นๆ ผ่านเว็บผู้ให้บริการ และสามารถกำหนดให้ส่งข้อความนั้นๆ ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ เช่น Twitter

2. สร้างและประกาศผลงาน (Creative Network) เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้ เป็นสังคมสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแสดงออกและนำเสนอผลงานของตัวเอง สามารถแสดงผลงานได้จากทั่วทุกมุมโลก จึงมีเว็บไซต์ที่ให้บริการพื้นที่เสมือนเป็นแกลเลอรี่ (Gallery) ที่ใช้จัดโชว์ผลงานของตัวเองไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ รูปภาพ เพลง อีกทั้งยังมีจุดประสงค์หลักเพื่อแชร์เนื้อหาระหว่างผู้ใช้เว็บที่ใช้ฝากหรือแบ่งปัน โดยใช้วิธีเดียวกันแบบเว็บฝากภาพ แต่เว็บนี้เน้นเฉพาะไฟล์ที่เป็นมัลติมีเดีย ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทนี้ ได้แก่ YouTube, Flickr, Multiply, Photobucket และ Slideshare เป็นต้น
3. ความชอบในสิ่งเดียวกัน (Passion Network) เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ทำหน้าที่เก็บในสิ่งที่ชอบไว้บนเครือข่าย เป็นการสร้าง ที่คั่นหนังสือออนไลน์ (Online Bookmarking) มีแนวคิดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเก็บหน้าเว็บเพจที่คั่นไว้ในเครื่องคนเดียวก็นำมาเก็บไว้บนเว็บไซต์ได้ เพื่อที่จะได้เป็นการแบ่งปันให้กับคนที่มีความชอบในเรื่องเดียวกัน สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการเข้าไปหาข้อมูลได้ และนอกจากนี้ยังสามารถโหวตเพื่อให้คะแนนกับที่คั่นหนังสือออนไลน์ที่ผู้ใช้คิดว่ามีประโยชน์และเป็นที่นิยม ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้แก่ Digg, Zickr, Ning, del.icio.us, Catchh และ Reddit เป็นต้น

4. เวทีทำงานร่วมกัน (Collaboration Network) เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ต้องการความคิด ความรู้ และการต่อยอดจากผู้ใช้ที่เป็นผู้มีความรู้ เพื่อให้ความรู้ที่ได้ออกมามีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและเกิดการพัฒนาในที่สุด ซึ่งหากลองมองจากแรงจูงใจที่เกิดขึ้นแล้ว คนที่เข้ามาในสังคมนี้มักจะเป็นคนที่มีความภูมิใจที่ได้เผยแพร่สิ่งที่ตนเองรู้ และทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เพื่อรวบรวมข้อมูลความรู้ในเรื่องต่างๆ ในลักษณะเนื้อหา ทั้งวิชาการ ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ สินค้า หรือบริการ โดยส่วนใหญ่มักเป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ในลักษณะเวทีทำงานร่วมกัน ในลักษณะเวทีทำงานร่วมกัน เช่น Wikipedia, Google earth และ Google Maps เป็นต้น

5. ประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality) เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้มีลักษณะเป็นเกมออนไลน์ (Online games) ซึ่งเป็นเว็บที่นิยมมากเพราะเป็นแหล่งรวบรวมเกมไว้มากมาย มีลักษณะเป็นวิดีโอเกมที่ผู้ใช้สามารถเล่นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เกมออนไลน์นี้มีลักษณะเป็นเกม 3 มิติที่ผู้ใช้นำเสนอตัวตนตามบทบาทในเกม ผู้เล่นสามารถติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นคนอื่นๆ ได้เสมือนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สร้างความรู้สึกสนุกเหมือนได้มีสังคมของผู้เล่นที่ชอบในแบบเดียวกัน อีกทั้งยังมีกราฟิกที่สวยงามดึงดูดความสนใจและมีกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้เล่นรู้สึกบันเทิง เช่น Second Life, Audition, Ragnarok, Pangya และ World of Warcraft เป็นต้น

6. เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ (Professional Network) เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อการงาน โดยจะเป็นการนำประโยชน์จากเครือข่ายสังคมออนไลน์มาใช้ในการเผยแพร่ประวัติผลงานของตนเอง และสร้างเครือข่ายเข้ากับผู้อื่น นอกจากนี้บริษัทที่ต้องการคนมาร่วมงาน สามารถเข้ามาหาจากประวัติของผู้ใช้ที่อยู่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้ได้ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้ได้แก่ Linkedin เป็นต้น

7. เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างผู้ใช้ (Peer to Peer : P2P) เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์แห่งการเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องผู้ใช้ด้วยกันเองโดยตรง จึงทำให้เกิดการสื่อสารหรือแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และตรงถึงผู้ใช้ทันที ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทนี้ ได้แก่ Skype และ BitTorrent เป็นต้น

 เรียนรู้เพิ่มเติมกับแ๊ก๊งสังคมออนไลน์ได้ที่
                                            
ผู้ให้และผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์
  1. กลุ่มผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network Service : SNS)
1.1   สร้างและประกาศตัวตน (Identity Network)
  • Facebook
  • Twitter
  • Bloggang
1.2   สร้างและประกาศผลงาน (Creative Network)
  • YouTube
  • Flickr
1.3   ความชอบหรือคลั่งไคล้ในสิ่งเดียวกัน (Passion Network)
  • Ning
  • Digg
  • Pantip
1.4   เวทีทำงานร่วมกัน (Collaboration Network)
  • Wikipedia
  • Google Earth
1.5   ประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality)
  • Second Life
  • World of Warcraft
1.6   เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ (Professional Network) ลิงด์อิน (LinkedIn)
1.7   เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างผู้ใช้ (Peer to Peer : P2P)
  • Skype
  • BitTorrent
  1. กลุ่มผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์
2.1   กลุ่ม Generation Z กลุ่มผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 6-10 ปี ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองผ่านเกมออนไลน์
2.2   กลุ่ม Generation Y และ Generation D (Digital) ผู้มีอายุระหว่าง 15-30 ปี จะใช้เพื่อความบันเทิงและการติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่มเพื่อน
2.3   กลุ่ม Generation X ผู้มีอายุระหว่าง 30-45 ปี ใช้เป็นเครื่องมือทาง การสื่อสารการตลาด การค้นหาความรู้ การอ่านข่าวสารประจำวัน
เครือข่ายสังคมออนไลน์กับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
  1. ด้านการสื่อสาร (Communication)
  2. ด้านการศึกษา (Education)
  3. ด้านการตลาด (Marketing)
  4. ด้านบันเทิง (Entertainment)
  5. ด้านสื่อสารการเมือง (Communication Political)
ผลกระทบของเครือข่ายสังคมออนไลน์
ผลกระทบเชิงบวก
  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง
  • ใช้ในการแบ่งปันข้อมูล รูปภาพ ความรู้ให้กับผู้อื่น
  • เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
  • เป็นเครือข่ายกระชับมิตร สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้
  • ช่วยในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
  • ช่วยในการพัฒนาชุมชน
  • เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ สร้างความเชื่อมั่น สร้างความสัมพันธ์ สร้างกิจกรรม
ผลกระทบเชิงลบ
  • เป็นช่องทางที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้างได้ง่าย
  • หากผู้ใช้หมกหมุ่นกับการเข้าร่วมเครือข่ายสังคมออนไลน์มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
  • เป็นช่องทางที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์กระแสสังคมในเรื่องเชิงลบ และอาจทำให้เกิดกรณีพิพาทบานปลาย
  • ภัยคุกคามจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การเผยแพร่ภาพและข้อความอันมีลักษณะดูหมิ่นและไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สรุป
เครือข่ายสังคมออนไลน์นับได้ว่าเป็นช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสาร แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำกิจกรรมต่างๆ ที่มีการเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างเครือข่ายในการตอบสนอง ความต้องการทางสังคมที่มุ่งเน้นในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ยุคเทคโนโลยี ดังนั้นเราในฐานะผู้ใช้จักต้องรู้ให้เท่าทันเครือข่ายสังคมออนไลน์ และควรที่จะต้องรู้จักหน้าที่ของตนเองในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม หากเรารู้จักหน้าที่และปฏิบัติตนได้ตามหน้าที่แล้วนั้นสังคมที่เราอยู่ย่อมเป็นสังคมที่สงบสุข

แพะนม


  

                 การเลี้ยงแพะนม


หน้าแพะ-จริงใจฟร์มแพะ
หน้าหนูสวยป่าว คะ

การเลี้ยงแพะในประเทศไทยของเรามีมายาวนานมาก และกระแสการบริโภคน้ำนมแพะเพื่อสุขภาพก็มาแรงในช่วงหนึ่ง จนมีข่าวที่ไม่สู้จะดีนัก และทำให้การบริโภคน้ำนมแพะลดลง ทั้งนี้เนื่องจากโรคระบาดของแพะที่สามารถติดต่อมาสู่คนได้ เรื่องนี้ต้องหาผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาแพะมาให้ความกระจ่างกันซักหน่อยจะดีกว่า
       อาจารย์ลักษณ์ เพียซ้าย หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็ก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หรือมีชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า ศูนย์แพะ-แกะ ได้ให้รายละเอียดอย่างกระจ่างแจ้งในเรื่องของแพะว่า แพะเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องมี 4 กระเพาะ ประเภทเดียวกับโคและกระบือ แต่ตัวมีขนาดที่เล็กกว่า จึงเรียกว่าสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็ก 
(Small Ruminant) และกินหญ้าเป็นหลัก รวมไปถึงไม้พุ่มที่มีขนาดเล็กเกือบทุกชนิด
       แพะมีความผูกพันกับคนเรามาช้านาน โดยเฉพาะชาวมุสลิม โดยชาวบ้านจะเลี้ยงในครัวเรือนประมาณ 5-10 ตัว แต่ในปัจจุบันกระแสการเลี้ยงแพะค่อนข้างจะมาแรง โดยเฉพาะนมแพะ เกษตรกรเริ่มสนใจหันมาเลี้ยงแพะกันมากขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย แพะมีความสามารถในการเปลี่ยนอาหารที่มีเยื่อใย (Fiber) เช่น ใบไม้ หญ้าชนิดต่าง ๆ ให้เป็นโปรตีนในรูปของเนื้อและนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอายุในการเลี้ยงสั้นคือ เมื่ออายุ 10-12 เดือน ก็สามารถผสมพันธุ์ได้ และใช้เวลาในการอุ้มท้อง 5 เดือน ก็จะให้ลูกได้ และบางครั้งยังให้ลูกแฝดอีกด้วย
       กระแสการดื่มน้ำนมแพะในขณะนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากกลุ่มผู้สนใจดูแลรักษาสุขภาพ จากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ แต่คนไทยยังไม่คุ้นเคยกับการดื่มน้ำนมแพะกันมากนัก นอกจากชาวมุสลิมที่ดื่มน้ำนมแพะกันมานาน โดยมีคำบอกเล่าว่าการดื่มน้ำนมแพะ จะสามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ ถ้าเทียบระหว่างน้ำนมแพะกับน้ำนมโค นมทั้ง 2 ชนิดก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ในน้ำนมแพะจะมีเม็ดไขมันที่มีขนาดเล็กกว่าน้ำนมโค เพราะฉะนั้นไขมันจากน้ำนมแพะจะย่อยได้ง่ายกว่า ร่างกายก็สามารถดูดซึมได้เร็วขึ้น และไม่เกิดอาการของท้องอืด ท้องเสีย หรืออาเจียน นอกจากนี้ในน้ำนมแพะยังมีโปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายค่อนข้างจะมาก มีไวตามินบี แร่ธาตุ แคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณที่ค่อนข้างสูง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของกลิ่นในน้ำนมแพะ ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวเช่นเดียวกับกลิ่นของเนื้อสัตว์ที่มีกลิ่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อแกะ ซึ่งผู้ที่เริ่มบริโภคน้ำนมแพะ อาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยในระยะแรก แต่จะรู้สึกว่าเป็นกลิ่นที่ปกติ ถ้าหากเราดื่มทุกวัน ส่วนวิธีการเลือกซื้อนมแพะที่ถูกต้องนั้น จะต้องเลือกน้ำนมแพะที่สุก มีการพาสเจอร์ไรส์ที่อุณหภูมิ 60-70 องศาเซลเซียส และต้องสังเกตสลากวันผลิต วันหมดอายุข้างขวดด้วย
                            การเลี้ยงแพะ
 การเลี้ยงแพะในประเทศไทยของเรามีมายาวนานมาก และกระแสการบริโภคน้ำนมแพะเพื่อสุขภาพก็มาแรงในช่วงหนึ่ง จนมีข่าวที่ไม่สู้จะดีนัก และทำให้การบริโภคน้ำนมแพะลดลง ทั้งนี้เนื่องจากโรคระบาดของแพะที่สามารถติดต่อมาสู่คนได้ เรื่องนี้ต้องหาผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาแพะมาให้ความกระจ่างกันซักหน่อยจะดีกว่า
       อาจารย์ลักษณ์ เพียซ้าย หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาการผลิตสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็ก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม หรือมีชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า ศูนย์แพะ-แกะ ได้ให้รายละเอียดอย่างกระจ่างแจ้งในเรื่องของแพะว่า แพะเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องมี 4 กระเพาะ ประเภทเดียวกับโคและกระบือ แต่ตัวมีขนาดที่เล็กกว่า จึงเรียกว่าสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็ก (Small Ruminant) และกินหญ้าเป็นหลัก รวมไปถึงไม้พุ่มที่มีขนาดเล็กเกือบทุกชนิด
       แพะมีความผูกพันกับคนเรามาช้านาน โดยเฉพาะชาวมุสลิม โดยชาวบ้านจะเลี้ยงในครัวเรือนประมาณ 5-10 ตัว แต่ในปัจจุบันกระแสการเลี้ยงแพะค่อนข้างจะมาแรง โดยเฉพาะนมแพะ เกษตรกรเริ่มสนใจหันมาเลี้ยงแพะกันมากขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย แพะมีความสามารถในการเปลี่ยนอาหารที่มีเยื่อใย (Fiber) เช่น ใบไม้ หญ้าชนิดต่าง ๆ ให้เป็นโปรตีนในรูปของเนื้อและนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอายุในการเลี้ยงสั้นคือ เมื่ออายุ 10-12 เดือน ก็สามารถผสมพันธุ์ได้ และใช้เวลาในการอุ้มท้อง 5 เดือน ก็จะให้ลูกได้ และบางครั้งยังให้ลูกแฝดอีกด้วย
       กระแสการดื่มน้ำนมแพะในขณะนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากกลุ่มผู้สนใจดูแลรักษาสุขภาพ จากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ แต่คนไทยยังไม่คุ้นเคยกับการดื่มน้ำนมแพะกันมากนัก นอกจากชาวมุสลิมที่ดื่มน้ำนมแพะกันมานาน โดยมีคำบอกเล่าว่าการดื่มน้ำนมแพะ จะสามารถป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ ถ้าเทียบระหว่างน้ำนมแพะกับน้ำนมโค นมทั้ง 2 ชนิดก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ในน้ำนมแพะจะมีเม็ดไขมันที่มีขนาดเล็กกว่าน้ำนมโค เพราะฉะนั้นไขมันจากน้ำนมแพะจะย่อยได้ง่ายกว่า ร่างกายก็สามารถดูดซึมได้เร็วขึ้น และไม่เกิดอาการของท้องอืด ท้องเสีย หรืออาเจียน นอกจากนี้ในน้ำนมแพะยังมีโปรตีน และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายค่อนข้างจะมาก มีไวตามินบี แร่ธาตุ แคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณที่ค่อนข้างสูง เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แต่มีข้อจำกัดในเรื่องของกลิ่นในน้ำนมแพะ ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะตัวเช่นเดียวกับกลิ่นของเนื้อสัตว์ที่มีกลิ่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว หรือเนื้อแกะ ซึ่งผู้ที่เริ่มบริโภคน้ำนมแพะ อาจจะรู้สึกไม่คุ้นเคยในระยะแรก แต่จะรู้สึกว่าเป็นกลิ่นที่ปกติ ถ้าหากเราดื่มทุกวัน ส่วนวิธีการเลือกซื้อนมแพะที่ถูกต้องนั้น จะต้องเลือกน้ำนมแพะที่สุก มีการพาสเจอร์ไรส์ที่อุณหภูมิ 60-70 องศาเซลเซียส และต้องสังเกตสลากวันผลิต วันหมดอายุข้างขวดด้วยการเลี้ยงแพะในประเทศไทยของเรามีมายาวนานมาก และกระแสการบริโภคน้ำนมแพะเพื่อสุขภาพก็มาแรงในช่วงหนึ่ง จนมีข่าวที่ไม่สู้จะดีนัก และทำให้การบริโภคน้ำนมแพะลดลง ทั้งนี้เนื่องจากโรคระบาดของแพะที่สามารถติดต่อมาสู่คนได้ เรื่องนี้ต้องหาผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาแพะมาให้ความกระจ่างกันซักหน่อยจะดีกว่า
                                               พันธุ์แพะนม




แพะนมลูกผสมพันธุ์ซาแนน-แองโกลนูเบียน และพันธุ์แองโกลนูเบียน เป็นแพะนมที่สามารถเลี้ยงได้ในสภาพพื้นที่ราบ และพื้นที่สูง เนื่องจากสามารถปรับตัวต่อสภาพอากาศร้อนหรือหนาวชื้นได้ดีให้นมประมาณตัวละ1.5 – 2.2 กิโลกรัมต่อวัน นาน 120-150 วัน ให้ลูกปีละ 2 ครอกๆละ 2 – 3 ตัวและมีอายุประมาณ 12-14 ปี  

การจัดการเลี้ยงดู




การเลี้ยงแพะนมเพื่อเป็นอาชีพหรือเสริมรายได้ ควรจะมีพื้นที่สำหรับปลูกพืช อาหารสัตว์ให้แพะกิน ถ้าเป็น พื้นที่ราบ และอยู่ในเขตชลประทาน ประมาณ 1 ไร่/ตัวถ้าอยู่นอกเขตชลประทานหรือพื้นที่สูง ควรมีพื้นที่ประมาณ 2-4 ไร่/ตัว(ในกรณีเลี้ยงขังคอกแล้วตัดหญ้าให้กิน) แพะมักจะเลือกกินอาหารเอง เช่นใบไม้ ต้นกระถิน ต้นไมยราพยักษ์ และต้องเสริมอาหารข้น,แร่ธาตุ พร้อมทั้งน้ำกินที่สะอาดอย่างเพียงพอ ควรมีโรงเรือนที่ยกระดับจากพื้น เนื่องจากแพะชอบความสะอาด และอากาศถ่ายเท มีการตรวจโรคที่สำคัญและฉีดวัคซีนป้องกันโรคประจำ อีกทั้งควรถ่ายพยาธิอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แพะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
ทำเลที่จะทำการเลี้ยงแพะนม
1.เส้นทางคมนาคมสะดวก
2.มีแหล่งน้ำสะอาดเพียงพอ ตลอดเวลา
3.เป็นพื้นที่ดอน น้ำถ่วมไม่ถึง
4.ไม่เคยเป็นโรคระบาดมาก่อน
5.พื้นที่โปร่งใส่ระบายอากาศได้ดี
6.มีพื้นที่ปลูกหญ้าเพียงพอ
ประโยชน์ของน้ำนมแพะ นมแพะทุกหยดลดภูมิแพ้ เรื่องของนมแพะกับโรคภูมิแพ้มักจะเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอยู่เสมอ การดื่มนมแพะเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรคภูมิแพ้บรรเทาลงและหายในที่สุด เป็นคำยืนยันของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่หันมาบริโภคนมแพะเป็นประจำแทนการกินยา

        

                        

กระรอกผู้น่ารัก

                                                    กระรอก


สายพันธุ์กระรอกน่ารู้  : แตกต่างแต่เหมือนกัน

  ต่อจากกระรอกเก๊ในบล๊อกที่แล้ว คราวนี้มาต่อที่กระรอกของจริงกันดีกว่า
ขนาดเล็กที่สุดของกระรอกแท้ๆ ก็ต้องยกให้กระรอกสวน
โดยทั่วไป กระรอกสวนจะมีสีน้ำตาลแกมเขียว หางเป็นพวงฟู พบเจอได้ทั่วไปในประเทศไทย และประเทศใกล้เคียง
นิยมเลี้ยงมากเพราะหาง่ายและราคาถูก ขนาดเล็กกระทัดรัดพกพาสะดวก 




เกาะแน่นๆจะได้ไม่ตก

พบเจอง่ายที่สุด บ่อยที่สุด เยอะที่สุด ขอเรียกว่า กระรอกสวนธรรมดา...ง่ายไปมั้ย
หน้าตาก็เหมือนกระรอกสวนปกติ ท้องเป็นสีครีมออกเหลือง นึกออกมั้ย ดูรูปเอาละกัน   
  
     
ดิ้นๆๆๆๆ

อีกชนิดที่เห็นบ่อยพอๆกันเลย คือ กระรอกสวนท้องแดง มันต่างกันแค่สีที่พุง
สวนท้องแดง ท้องจะแดงแป๊ดดดด เหมือนเอาสีย้อมเลยทีเดียว


อย่าจับแน่น สิ

อีกชนิดที่ยังพบเห็นได้ตามท้องตลาดโดยทั่วไป แต่ไม่บ่อยเท่าสองชนิดแรก คือ กระรอกสวนหลังดำ 
แบบไรขนดำๆที่หลังไม่เอานะ อันนั้นปกติ อยากเป็นสวนหลังดำ ต้องดำแบบเอาหมึกป้าย อย่างน้อยก็ตั้งแต่กลางหลังถึงโคนหาง ท้องจะเป็นสีแดงหรือปกติก็ได้


หิวๆๆๆๆ

สุดท้ายที่หายากสุด (จริงๆคือดูยาก) คือ 
กระรอกสวนท้องขาว ท้องจะขาวจั๊วะ บางทีจะมีแก้มขาวกับคิ้วขาวแถมมาให้ด้วย น่ารักฝุดๆ
ปัญหาคือ เด็กๆมันเหมือนกับสวนท้องแดงหรือสวนหลังดำเลย พอผลัดขนแล้วพุงเปลี่ยนสี
แบบนี้จะรู้ได้ไงว่ามันเป็นสวนท้องขาว....แล้วแต่ดวงละกัน
          
หาเหยื่อๆ


สวยน่ารักกันอีกแล้ว
ต่อไปถึงคิวกระรอกหลากสี อีกสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยง ราคาไม่แพงมาก สีสันสวยงามสมชื่อ ตัวใหญ่กว่ากระรอกสวนเล็กน้อย แถมแอบมีลุ้นตอนผลัดขนให้ตื่นเต้นเล็กๆด้วย เพราะกระรอกหลากสีมักจะสีเปลี่ยนในช่วงผลัดขนครั้งแรก
บางสีพอจะเดาได้ แต่บางทีเปลี่ยนไปเป็นคนละตัว อย่างเช่นเด็กๆเป็นแดงท้องขาว แต่ผลัดขนออกมาเป็นสีครีมทั้งตัว เป็นต้น
ปกติจะแบ่งเป็นหลากสีธรรมดา และหลากสีภูเขา ซึ่งหลากสีภูเขาสีจะสดกว่า(มั้ง) ตัวใหญ่กว่า ขนหนากว่า

เริ่มจาก กระรอกเทาท้องขาว ซึ่งในวัยเด็กๆจะเป็นสีเทา เทาเข้ม เทาอ่อน เทาออกเขียว ก็ว่ากันไป แต่ที่เหมือนกันคือส่วนท้องและหางเป็นสีครีม
แล้วพอโตมาสีมะจะชัดขึ้น เข้มขึ้น



เด็กน้อย
ต่อมาที่ขนาดพอๆกันและนิยมพอๆกัน คือกระรอกแดงท้องขาว รายนี้จะมีการแปลงร่างเล็กน้อย
เด็กๆจะเป็นสีน้ำตาลแดง จะแดงมากแดงน้อยก็แล้วแต่ตัว ท้องและหางเป็นสีแดง
แต่พอผลัดขน ขนจะค่อยขาวครีม ไล่จากปลายจมูกและปลายหู ลงมาที่พุง จรดปลายหาง



มึนๆๆๆ
นอกจากสองสีที่ว่า ยังมีกระรอกหลากสี สีครีม หรือที่นิยมเรียกกันว่า กระรอกเผือก ทั้งๆที่มันเป็นสีครีมทั้งตัว และตาสีดำ 
ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด สีครีม มักจะมีขนาดใหญ่กว่าสีแดงและเทาเล็กน้อย
ในวัยเด็ก กระรอกเผือกอาจมีไรขนสีดำหรือเทาแซมบนหลัง ซึ่งพอโตก็หายไปเอง แต่ก็ควรระวังแม่ค้าหัวใสบางคน เอากระรอกเทาสีอ่อนๆมาหลอกขายได้ 
จะออกข้างนอกด้วยยย
นอกจากสามสีด้านบนที่พบเห็นได้บ่อย ยังมีกระรอกอีกชนิดที่จัดอยู่ในกลุ่มกระรอกหลากสี
นั่นก็คือ กระรอกสมิง นั่นเอง 
กระรอกสมิง คือกระรอกแดงที่มีโคนหางเป็นสีขาว เทห์โพดๆ  
กระรอกแดงสมิงลักษณะเป็นกระรอกสีแดงเข้มทั้งตัว มีเฉพาะโคนหางที่เป็นสีขาว

จะน่ารักไปใหน คะ
และยังมีกระรอกสมิงหลังเงิน และกระรอกสมิงหลังทอง ซึ่งเป็นสีแดงเข้มเช่นกัน แต่หลังจะเป็นสีเงินหรือทองสว่าง สวยมากๆ
สมิงหลังเงินที่หลุดมาขายกันมักจะมีแต่ไซส์โต ส่วนหลังทองเห็นมีเด็กๆขายกันประปราย
ซ่อนดีกว่า





                   
                           
                                          
                                  

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

โคนม

การเลี้ยงโคนมในประเทศไทย

น้ำนมที่ใช้บริโภค มีทั้งน้ำนมที่ได้จากพืช เช่น ถั่วเหลือง และน้ำนมที่ได้จากสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โค แพะ แกะ กระบือ เป็นต้น น้ำนมโค มีส่วนประกอบที่ใกล้เคียงกับน้ำนมคน (มารดา) มากที่สุด จึงนิยมบริโภคกันทั่วโลก
การเลี้ยงโคนม เพื่อนำน้ำนมมาบริโภคในประเทศไทย เริ่มมานานแล้ว แต่เพิ่งมาเลี้ยงอย่างจริงจัง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์กขึ้น ที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ร่วมกับพระเจ้าเฟรเดริคที่ ๙ (King Frederick IX) แห่งประเทศเดนมาร์ก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ศูนย์ฝึกอบรมนี้ ต่อมา ได้พัฒนากลายเป็น องค์กรส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทดลองเลี้ยงโคนม ด้วยพระองค์เอง ในบริเวณสวนจิตรลดา และเมื่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม สามารถผลิตน้ำนมดิบ ได้เกินความต้องการของตลาด ก็ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงงานนมผง และศูนย์รับนม นอกจากนี้ยังทรงริเริ่มให้มีการจัดตั้ง บริษัทผลิตภัณฑ์นมหนองโพ จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) ดำเนินการผลิตนมผงใน พ.ศ. ๒๕๑๕ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้ทรงโอนกิจการของบริษัทนี้ ให้สหกรณ์โคนมราชบุรีจำกัด ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โคนม
โคชมวิว
                        

การรีดนมโคด้วยมือ

ในปัจจุบันมีแหล่งเลี้ยงโคนมที่สำคัญอยู่ ๔ แห่ง คือ บริเวณจังหวัดสระบุรี-นครราชสีมา- ลพบุรี บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์-เพชรบุรี บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ และบริเวณจังหวัดราชบุรี-นครปฐม เกษตรกรในสามแหล่งแรกส่งน้ำนม ดิบเข้าโรงงานขององค์การส่งเสริมกิจการโคนม แห่งประเทศไทยที่อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตามลำดับ ส่วนแหล่งสุดท้าย ส่งเข้าโรงงานของสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง ได้มีการมีเลี้ยงโคนมกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณใกล้เคียงกับ วิทยาลัยเกษตรกรรม วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา และบริษัทเอกชนที่มีการแปรรูปนม
ฝูงโคนมขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
     การเลี้ยงโคนมแม้มีรายจ่ายค่อนข้างสูง แต่ผลตอบแทนจากการเลี้ยงโคนม จะสูงกว่าการทำนาทำไร่หลายเท่า จึงเป็นการสร้างรายได้ที่ดีของเกษตรกร ทั้งที่มีอาชีพเลี้ยงโคนมโดยตรง และที่เป็นอาชีพเสริม นับว่ามีส่วนช่วยในการ สร้างงานในชนบทของชาติ และช่วยลดการสูญเสียเงินตราให้แก่ต่างประเทศ จากการนำเข้าผลิตภัณฑ์นมชนิดต่างๆ ประกอบกับประเทศไทย ก็มีภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปศุสัตว์ เนื่องจาก อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารสัตว์ เช่น ทุ่งหญ้าเลี้ยง สัตว์ ผลิตผลพืชไร่ (ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฯลฯ) วัสดุเหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมทางการเกษตร (เปลือกข้าว รำข้าว เปลือกสับปะรด ยอดอ้อย กากน้ำตาล ฯลฯ) ซึ่งมีราคาถูก และสามารถ เลือกใช้ทดแทนกันได้หากสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีราคาเพิ่มขึ้น ส่วนมูลโค ก็มีประโยชน์ต่อการพัฒนาที่ดินของเกษตรกร และอาจนำมาใช้ทำแก๊สชีวภาพ สำหรับใช้ในครอบครัวได้อีกด้วย การเลี้ยงโคนมจึงเป็น การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยพยายามสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตผลที่ผลิตได้ เช่น แทนที่จะผลิตมันสำปะหลัง เพื่อส่งออก สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์ในต่างประเทศ ก็นำมาใช้ในการเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ เพื่อส่งออกเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า เป็นต้น นอกจากนี้ ทางรัฐบาลก็ได้ให้การส่งเสริมทางด้านสินเชื่อการเกษตร การปรับปรุงพันธุ์สัตว์โดยการผสมเทียม การบริการสัตวแพทย์ และเกษตรกรสามารถ ขายน้ำนมดิบได้ในราคาประกันที่เป็นธรรม
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โคนม
นมวัวนมสดๆ
พันธุ์โคที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยได้แก่ พันธุ์โฮลสไตน์ (Holstein) ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น ในอังกฤษเรียกว่า ฟรีเชียน (Friesian) ใน เดนมาร์กเรียกว่า ขาว-ดำ (Black and White) หรือ ดัตช์ฟรีเชียน (Dutch friesian) ในอิสราเอลเรียกว่า อิสราเอลฟรีเชียน (Israel friesian) เป็นต้น เป็น โคนมที่มีลักษณะเด่นตรงที่มีสีดำตัดกับสีขาวอย่างชัดเจน โคตัวผู้ที่โตเต็มที่จะมีน้ำหนักประมาณ ๘๐๐-๑,๐๐๐ กิโลกรัม ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก ประมาณ ๖๐๐-๗๐๐ กิโลกรัม และเจริญเติบโต ดีกว่าตัวผู้ แม่โคจะเจริญเต็มที่เมื่ออายุ ๖-๗ ปี มีอายุผสมพันธุ์ประมาณ ๑๘ เดือน คลอดลูก เมื่ออายุได้ ๒๘-๓๐ เดือน การให้นมอยู่ใน เกณฑ์สูงประมาณ ๕,๐๐๐ กิโลกรัมต่อปี มีไขมัน นม ๓.๕% (ไขมันสีขาวเหมาะที่จะนำไปบริโภค) เคยมีความเชื่อกันว่าโคพันธุ์นี้มีสายเลือด ๑๐๐% ไม่สามารถเลี้ยงได้ดีในประเทศที่มีอากาศร้อน แต่ในอิสราเอล กลับเลี้ยงเป็นผลสำเร็จ ในประเทศไทย โคพันธุ์นี้ส่วนใหญ่มีสายเลือดผสม ๕๐-๗๕% แต่ก็มีแนวโน้ม ที่จะพัฒนาให้มีสายเลือดสูงขึ้น จน สามารถเลี้ยงสายเลือด ๑๐๐% ได้
โคนมพันธุ์โฮลสไตน์ โคนมที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย
โคนมพันธุ์โฮลสไตน์ โคนมที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทย
พันธุ์โคนมที่นิยมเลี้ยงมากอีกพันธุ์หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณอำเภอมวกเหล็ก คือ พันธุ์เรดเดน (Red dane) ซึ่งพัฒนาขึ้นที่ประเทศเดนมาร์ก ให้นมและเนื้อใกล้เคียงกับพันธุ์โฮลสไตน์ แต่มีปัญหาในการปรับตัวในสภาพอากาศร้อน
โคนมพันธุ์เรดเดน โคนมที่นิยมเลี้ยงอีกพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย
โคนมพันธุ์เรดเดน โคนมที่นิยมเลี้ยงอีกพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย
นอกจากนี้ยังมีโคพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งพัฒนา มาจากอินเดียและปากีสถาน คือ พันธุ์เรดซินดิ (Red sindhi) และซาฮิวาล (Sahiwal) ให้นมน้อย กว่าพันธุ์ยุโรปครึ่งหนึ่ง และมีไขมันค่อนข้างสูง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โคนม

การเลี้ยงโคนมอย่างมีประสิทธิภาพนั้น พิจารณาจากการที่โคให้นมในปริมาณสูงในขณะ ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ สามารถทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ โคจะต้อง เชื่องและรีดนมง่าย ไม่ต้องใช้ลูกโคกระตุ้นเวลารีดนม
ใน พ.ศ. ๒๕๓๐ ประเทศไทยมีแม่โคนมพันธุ์ดีที่กำลังให้นม มากกว่า ๓๐,๐๐๐ ตัว กระจาย อยู่ทั่วประเทศ ในแต่ละวัน สามารถผลิตน้ำนมดิบได้มากกว่า ๒๐๐ ตัน ซึ่งถ้าคิดเฉลี่ยต่อตัวต่อวันแล้ว ผลิตผลของโคนมในประเทศไทย ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ กล่าวคือ ให้ผลิตผลเพียง ประมาณ ๙-๑๐ กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน หรือประมาณ ๒,๕๐๐-๓,๐๐๐ กิโลกรัมต่อช่วงเวลาการให้นมช่วงเวลาหนึ่ง (lactation) แม้ว่า โคนมพันธุ์ผสมจำนวนหนึ่งอาจให้นมได้ถึง ๒๐ กิโลกรัม ต่อตัวต่อวันก็ตาม    หญ้าขน หญ้าที่โคชอบกิน
หญ้าขน หญ้าที่โคชอบกิน
การพัฒนาหรือปรับปรุงพันธุ์ การพัฒนาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์และอาหารสัตว์ การพัฒนา การผสมเทียมและการบริการสัตวแพทย์ และการพัฒนาการจัดการฟาร์ม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำนมดิบได้ดังนี้

การพัฒนาหรือการปรับปรุงพันธุ์ จะช่วยให้ได้โคลูกผสมที่สามารถให้นมได้มากที่สุด และสามารถเลี้ยงได้ในสภาพแวดล้อมในประเทศไทย จนในที่สุดสามารถสร้างพันธุ์แท้ของตนเองได้ ในระยะแรก จำเป็นต้องใช้โคพันธุ์ยุโรป ซึ่งให้น้ำนมสูงผสมกับโคพันธุ์พื้นเมืองซึ่งทนต่ออากาศร้อนได้ โดยจะต้องคัดพันธุ์อย่างเข้มงวด


การพัฒนาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และอาหารสัตว์ จะมีผลต่อการเพิ่มผลิตผล และลดรายจ่ายอย่างมาก เพราะหญ้าเป็นอาหารหลักของโคนม และมีราคาถูก จึงต้องพัฒนา และบำรุงรักษาเป็นอย่างดี เพื่อให้มีปริมาณหญ้าเพียงพอแก่โคนม หญ้าที่โคนมชอบกินได้แก่ หญ้าขน และหญ้าตระกูลถั่วต่างๆ ในบางฤดูกาล อาจมีหญ้าไม่เพียงพอ เกษตรกรจึงต้องทำหญ้าแห้ง และหญ้าหมักไว้ด้วย แต่เนื่องจากหญ้าเป็นอาหารหยาบ มีโปรตีนต่ำ และมีคุณค่าทางโภชนาการไม่เพียงพอต่อการผลิตน้ำนม เกษตรกรจึงมักใช้อาหารข้นเพิ่มเติม เช่น เมล็ดพืช หรือผลพลอยได้จากเมล็ดพืช ได้แก่ ปลายข้าว รำข้าว ข้าวโพด กากถั่ว กากน้ำตาล ตลอดจนอาหารเสริมที่มีสารอาหารต่างๆ ด้วย